3.07.2554

โยคะและการเจริญสติปัฏฐานสี่

มีอะไรในตัวเราให้ดูบ้างระหว่างฝึก


คำตอบ คือ ทั้งหมดที่เป็นส่วนของกายและภาวะทางใจ คุณผู้อ่านทำหน้างงๆกันแล้ว ยังงัยล่ะเนี่ย??  จะดูยังงัยหมด? ดูพร้อมกันหมดเลยรึเปล่า? คำตอบ คือ เปล่าค่ะ แยกดูเป็นส่วนๆก่อนนะคะ เพราะดูทั้งหมดทีเดียวเป็นไปไม่ได้ค่ะ ดูเท่าที่เราดูได้พอค่ะ แล้วดูส่วนไหนก่อนดีล่ะ? ดูลมหายใจก่อนเป็นงัยคะ เพราะลมหายใจเป็นที่พึ่งได้และยังเป็นตัวฉุดสติได้ด้วยค่ะ รวมทั้งเป็นตัวทำให้เกิดสติเห็นความไม่เที่ยงตามจริงได้ด้วยค่ะ


เอาล่ะ เมื่อรู้วิธีกันแล้ว ทีนี้ก็เริ่มกันเลยนะคะ แค่รู้ธรรมดาๆว่า กำลังหายใจเข้าหรือหายใจออก ตรงนั้นเรียกว่า "มีสติ" ค่ะ เมื่อใดมีสติ เมื่อนั้นความสงสัยและความฟุ้งซ่านย่อมถูกแทนที่ได้ชั่วคราว ปัญหา คือ เราทั้งหลายไม่สามารถปลูกฝังความพอใจ หรือกระทั่งเตือนสติให้ตนเองเข้ามารู้ลมหายใจหรือรายละเอียดอื่นๆในกายและใจได้ง่ายนัก ตรงนี้พิสูจน์ได้ไม่ยากค่ะ เวลาฝึกๆไป แค่ตามลมได้ตลอดก็เก่งแล้วค่ะ แต่ส่วนใหญ่ เวลาฝึกๆไปจะล่องลอยไปที่โน่นที่นี่กันมากกว่า ลองสังเกตุตัวเองดูนะคะ ว่าเราตามลมได้ตลอดมั้ย ถ้าได้ตลอด ลองสังเกตุต่อไปอีกว่า เมื่อใดลมหายใจสั้น เมื่อใดลมหายใจยาว แรกเริ่ม ถ้าไม่เคยฝึกโยคะมาก่อนลมหายใจมักจะสั้นอยู่แล้วค่ะ และถ้าลมหายใจสั้น สติจะเกิดได้ยากกว่าลมหายใจยาว แต่ถึงแม้ลมหายใจจะสั้น ถ้าเรารู้ว่าเรากำลังหายใจอยู่ เมื่อนั้นสติก็เกิดแล้วค่ะ


เมื่อฝึกไปๆอย่างต่อเนื่อง ลมหายใจจะยาวขึ้นเรื่อยๆ คราวนี้เมื่อเราสามารถลากลมหายใจได้ยาว เราจะดูลมได้ชัดขึ้นค่ะ เมื่อดูลมชัดขึ้น จะเกิดสติง่ายขึ้น คราวนี้ เราจะมีสมาธิอยู่กับตัวเองมากขึ้นโดยที่ความฟุ้งซ่านเรื่มลดน้อยลง เราสามารถย้ายจากการดูลมหายใจมาดูที่กายได้ว่าเรากำลังฝึกอาสนะไหนอยู่ แขนซ้ายหรือแขนขวาที่ียกขึ้น ขาซ้ายหรือขาขวาที่ยืนอยู่ ก้มตัวอยู่หรือเงยขึ้น เมื่อฝึกถึงท่าที่เราไม่ค่อยถนัดเท่าไรนัก เช่น การใช้ร่างกายข้างที่ไม่ถนัดซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นข้างซ้าย ทำไมมันก้มไม่ไปหรือเงยไม่ได้แถมยังเจ็บมากๆด้วย เราก็ดูเวทนาที่มันเิกิดขึ้น เออนะ ร่างกายเรานี่มันไม่มีส่วนไหนที่สบายอยู่ตลอดเวลา ตอนนี้ทำได้ ค้างท่าได้สบายๆ ลองค้างนานๆสัก 10 ลมสิคะ โอย!! เริ่มปวดแล้ว เมื่อไหร่จะให้เปลี่ยนท่าซะที ตอนนี้น่ะ อ่านแล้วขำ แต่ตอนอยู่ในชั้นเรียนถึงกับโกรธครูไปเลยก็มี จะทรมานกันไปถึงไหนเนี่ย?? (แอบใส่ความรู้สึกส่วนตัวเล็กๆค่ะ :) ) 


แต่ถ้าเรามีสติพอที่จะดูมันต่อไปเรื่อยๆ เราจะพบว่า ความเจ็บหรืออารมณ์ใดๆก็ตามที่เกิดขึ้น มันอยู่กับเราไม่นานหรอกค่ะ เดี๋ยวมันก็ไป เดี๋ยวเปลี่ยนท่ามันก็หายแล้ว ตรงนี้ เราก็ได้การพิจารณาธรรมะขึ้นมาอีก ได้ธรรมะระหว่างฝึก "สิ่งใดเกิดขึ้น สิ่งนั้นตั้งอยู่และดับไป" ในที่สุด เพียงแต่เราพิจารณาตรงนี้ทันรึเปล่า ส่วนใหญ่ ไม่ทันค่ะ เพราะมัวแต่โกรธ หงุดหงิด รำคาญ งัยคะ กิเลสเอาไปกิน


ลองใหม่มั้ยคะ คราวหน้าฝึกเองหรือเข้าชั้นเรียนลองเริ่มสังเกตุตัวเองไปเรื่อยๆ เริ่มจากดูลมหายใจก่อนนะคะ แล้วถ้ามีสิ่งใดเกิดขึ้นระหว่างฝึก โดยที่สิ่งนั้นมากระทบอายตนะทั้งหกของเรา คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ อะไรเกิดขึ้นก็ใช้จิตไปรับรู้สิ่งนั้น คือ หงุดหงิดห็รู้ว่าหงุดหงิด รำคาญก็รู้ว่ารำคาญ (จิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน) กายเคลื่อนไหว รู้ว่าส่วนใดเคลื่อนไหวอยู่ (กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน) มีความเจ็บปวดเกิดขึ้น รับรู้ที่ความเจ็บปวดนั้น (เวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน) สุดท้าย รู้ว่า สิ่งใดๆย่อมไม่คงทน มีความ "เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป" เป็นธรรมดา (ธรรมานุปัสสนาสติปัฏฐาน) 


เพียงแค่นี้ เราก็สามารถฝึกโยคะไปพร้อมๆกับการเจริญสติปัฏฐานสี่ตามแนวทางของพุทธศาสนาได้แล้วค่ะ ถามว่า ยากมั้ย ตอบว่า ยากค่ะ แต่ไม่เกินความสามารถของทุกท่านแน่นอนค่ะ ค่อยๆเริ่มจากวันนี้นะคะ อย่างน้อย ก็ได้ชื่อว่านับหนึ่งแล้ว 


สุดท้าย ขอให้ทุกท่าน ค้นพบตัวตนภายในอย่างแท้จริง ซึ่งเป็นจุดมุ่งหมายสูงสุดของการฝึกโยคะค่ะ


อ้างอิง : หนังสือวิปัสสนานุบาล

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น