1. ยมะ (Yama) หมายถึง ทัศนะคติของเราที่มีต่อสิ่งต่างๆและคนอื่นๆรอบตัวเรา หมายถึง วินัย การยับยั้ง ทัศนคติ หรือ พฤติกรรม ซึ่งก็คือ "ศีล" ของชาวพุทธนั่นเองค่ะ ยมะมี 5 องค์ประกอบ ได้แก่
>> อหิมสา (Ahimsa) หมายถึง การไม่เบียดเบียนผู้อื่นและตนเอง ไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ทำให้ผู้อื่นเป็นทุกข์ รวมถึงไม่ทำให้ตนเองเดือดร้อน หมายถึง ความกรุณา มิตรภาพ และการคิดถึงคนอื่นๆและสิ่งต่างๆอย่างใคร่ครวญ ตรงกับศีลข้อที่หนึ่ง
>> สัตยะ (Satya) หมายถึง การไม่พูดปด มีสัจจะวาจา ไม่โอ้อวดตน ไม่ข่มเหงผู้อื่น เราควรพิจารณาว่าจะพูดอะไร สิ่งที่เราพูดจะมีผลอะไรกับผู้อื่นหรือไม่ บทความหนึ่งจากมหาภารตะกล่าวว่า "จงพูดความจริงที่น่าพอใจ อย่าพูดความจริงที่ไม่น่าพอใจ จงอย่าพูดปด แม้ว่าถ้อยคำโป้ปดนั้นจะรื่นหู นี่คือกฎที่ไม่มีวันตายหรือธรรมะ" ตรงกับศีลข้อที่สี่
>> อัสเตยะ (Asteya) หมายถึง การไม่เอาอะไรที่ไม่ใช่ของเรา ไม่ลักขโมยทั้งสิ่งที่มีและไม่มีชีวิต ไม่หาประโยชน์จากผู้อื้น ตรงกับศีลข้อที่สอง
>> พรหมจรรย์ (Brahmacharya) หมายถึง การไม่ผิดลูกและภรรยาของผู้อื่นการมีสามีและภรรยาเดียว ตรงกับศีลข้อที่สาม
>> อปริครหะ (Aparigraha) หมายถึง การไม่สะสมทรัพย์เกินควร ไม่โลภ เอาเฉพาะสิ่งที่จำเป็นและไม่ฉวยประโยชน์จากสถานการณ์
2. นิยมะ (Niyama) หมายถึง ทัศนคติที่เราประยุกต์กับตัวเราเอง หรือจริยธรรมหรือข้อควรปฏิบัติ 5 ประการ
>> เศาจะ (Saucha) หมายถึง ความบริสุทธิ์ทั้งร่างกายและจิตใจ ความสะอาดภายในจะเกี่ยวกับสุขภาพอวัยวะต่างๆในร่างกายทำงานได้ดี รวมทั้งความชัดเจนแจ่มใสของจิตใจ การฝึกอาสนะและปราณายามะเป็นเครื่องมือที่สำคัญในการบรรลุถึงเศาจะภายใน
>> สันโดษ (Santosa) หมายถึง ความพอประมาณและความรู้สึกพอใจในสิ่งที่เรามีอยู่แล้ว การยอมรับในสิ่งที่เกิดขึ้นและเรียนรู้จากสิ่งเหล่านั้น หมายรวมถึงกิจกรรมทางจิตใจ
>> ตบะ (Tapas) หมายถึง ความอดทนอดกลั้น การตั้งมั่นในสิ่งที่เราทำอยู่ ความเคร่งครัด การจดจ่อ
>> สวาธยายะ (Svadhyaya) หมายถึง การใฝ่รู้ การศึกษาทางโลกและธรรม การศึกษาตนเอง การเรียนรู้ทุกชนิดที่ช่วยให้เราเรียนรู้เกี่ยวกับตัวเองมากขึ้น
>> อีศวรประณิธาน (Isvara pranidhana) หมายถึง การศรัทธายึดมั่นในศาสนาและประเพณีที่เราปฏิบัติอยู่
3. อาสนะ (Asana) หมายถึง กระบวนการฝึกฝนทางร่างกายให้เกิดความคงทนและความสมดุลต่อการเจ็บป่วยและความเสื่อม เป็นกระบวนการพัฒนาเพื่อชะลอความเสื่อมของร่างกาย มีอาสนะพื้นฐาน 32 อาสนะ
4. ปราณายามะ (Pranayama) หมายถึง การมีสติอยู่กับลมหายใจ การบริหารลมหายใจหรือลมปราณ
5. ปรัตยาหาระ (Pratyahara) หมายถึง การสำรวมอินทรีย์ การควบคุมอารมณ์ กิเลส พฤติกรรม ความรู้สึก ความต้องการ ความคิด ให้เป็นบวก ให้มีสติเท่าทันอารมณ์ ให้มีความสงบและเกิดปัญญา ประสาทสัมผัสทั้งห้าจะไม่ขึ้นกับสิ่งเร้าและไม่ถูกกระตุ้นโดยสิ่งเร้าอีกต่อไป เราไม่สามารถทำให้ปรัตยาหาระเกิดขึ้นได้ เราทำได้เพียงแค่ฝึกวิธีการที่อาจทำให้มันเกิดขึ้น
6. ธารณา (Dharana) หมายถึง การถอนอารมณ์จากสิ่งที่เรายึดมั่นอยู่ว่าเป็นของเรา การมีสมาธิจดจ่อในสิ่งที่ทำหรือมุ่งความสนใจไปในทิศทางเดียว (ไม่ใช่สมาธิ)
7. ธยานะ (Dhyana) หมายถึง การเชื่อมโยงระหว่างตัวตนกับวัตถุ ต้องเกิดธารณาก่อนจึงจะมีธยานะ เนื่องจากจิตใจจำเป็นต้องจดจ่อกับวัตถุหนึ่งก่อนที่การเชื่อมโยงจะเกิดขึ้น
8. สมาธิ (Samadhi) เป็นเป้าหมายสูงสุดของการฝึกจิต เข้าสู่ภาวะสุญตา คือ ความว่าง สมาธิ คือ ความเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติ เมื่อเราสามารถดื่มด่ำกับอะไรบางอย่างจนจิตใจของเรากลายเป็นหนึ่งเดียวกับสิ่งนั้นอย่างสมบูรณ์ นั่นคือ เราอยู่ในสภาวะสมาธิ
"ปรัตยาหาระ" เป็นกึ่งหฐ กึ่งราชาโยคะ "ธารณา ธยานะ และสมาธิ" เป็นราชาโยคะ ทั้งสี่องค์นี้ไม่สามารถฝึกฝนได้ โยคะสูตรจึงแนะนำให้ฝึก "อาสนะและปราณายามะ" เพื่อเป็นการเตรียมพร้อมสำหรับธารณา เนื่องจากทั้งสองอย่างนี้จะมีอิทธิพลต่อการทำงานของจิตใจและสร้างที่ว่างในใจที่ยุ่งเหยิง ทันทีที่ธารณาปรากฎขึ้นธยานะและสมาธิจะตามมา
อ้างอิง : หนังสือหัวใจแห่งโยคะ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น